โครงการร่วมหาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรม

   22 ม.ค. 68  /   27

     วิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนาได้จัดโครงการร่วมหาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม 2568 เพื่อพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 9, อัยการจังหวัดสงขลา ,เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัดสงขลา และนิสิตวิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนา 

     หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรม วิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนา เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตการทำงานได้อย่างแท้จริง เน้นกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานเพื่อ

ปัจจุบัน โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องการทั้งความรวดเร็วและความเป็นธรรม เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ศาล หรือเรือนจำ
เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งคำฟ้องในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังศาลล่วงหน้า ช่วยให้ศาลสามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับจำเลยได้ก่อนการพิจารณาคดี ทำให้สามารถดำเนินการเบิกตัวผู้ต้องขังได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ลดปัญหาความล่าช้าในการพิจารณาคดี

นอกจากนี้ การบูรณาการข้อมูลระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุดและศาลยุติธรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น คำพิพากษาของศาล ได้ทันที ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพิจารณาว่าจะมีการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ ลดระยะเวลาในการประสานงานและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินกระบวนการยุติธรรม

ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้งานระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม และเป็นการยกระดับคุณภาพของระบบยุติธรรมไทยให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรม

หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรที่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของระบบยุติธรรม โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในแง่ของความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความเป็นธรรม

1. ความสำคัญของเทคโนโลยีในกระบวนการยุติธรรม

ปัจจุบัน ระบบยุติธรรมได้ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เช่น การส่งคำฟ้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลคดีระหว่างอัยการ ศาล และเรือนจำ ซึ่งช่วยให้กระบวนการพิจารณาคดีมีความรวดเร็วขึ้น ลดข้อผิดพลาด และลดภาระงานด้านเอกสาร ดังนั้น หลักสูตรควรเน้นการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้นักศึกษาสามารถปรับตัวและใช้งานระบบที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การบูรณาการความรู้ด้านการบริหารงานตำรวจและงานราชทัณฑ์

การบริหารงานตำรวจและการปฏิบัติงานของเรือนจำมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมผู้ต้องขัง การส่งต่อข้อมูลทางคดี หรือกระบวนการฟื้นฟูผู้กระทำผิด ดังนั้น หลักสูตรควรมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงระหว่างการปฏิบัติงานของตำรวจ อัยการ ศาล และเรือนจำ เพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

3. การพัฒนาทักษะด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน

เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องมีความรู้ด้านกฎหมายที่แม่นยำ รวมถึงความเข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามหลักนิติรัฐและจริยธรรมทางวิชาชีพ หลักสูตรจึงควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษากรณีศึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงฝึกปฏิบัติจริงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

4. การฝึกประสบการณ์และความร่วมมือกับหน่วยงานภาคสนาม

เพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ที่ตรงกับการปฏิบัติงานจริง ควรมีการจัดฝึกงานหรือศึกษาดูงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีตำรวจ สำนักงานอัยการ ศาล และเรือนจำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการทำงานแต่ละขั้นตอน และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงเมื่อสำเร็จการศึกษา

5. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย

การพัฒนาหลักสูตรควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้หลักสูตรมีความทันสมัยและสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ซึ่งหน่วยงานพร้อมให้การสนับสนุนในด้านข้อมูล ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาหลักสูตรนี้ให้มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของระบบยุติธรรมไทยในปัจจุบัน

 

เรือนจำกลาง

โดยมีประเด็นสำคัญที่ผู้คุมต้องเข้าใจ ดังนี้

1. ความสำคัญของกฎหมายและสิทธิมนุษยชน

  •  ผู้คุมต้องปฏิบัติตาม กฎหมายปกครอง และ สิทธิมนุษยชน ในการควบคุมผู้ต้องขัง
  • ต้องเข้าใจหลักสากล เช่น ข้อกำหนดเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela Rules) ซึ่งเป็นมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง

2. กฎหมายปกครองที่เกี่ยวข้อง

  • คำสั่งที่ออกเกี่ยวกับการควบคุมตัวถือเป็น คำสั่งทางปกครอง ซึ่งต้องมีความถูกต้องและเหมาะสม
  • ผู้คุมต้องมีความเข้าใจว่าคำสั่งใดชอบด้วยกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิของผู้ต้องขัง

3. ทักษะที่จำเป็นของผู้คุม

  • นอกจากความรู้ด้านกฎหมายแล้ว ผู้คุมต้องมี ไหวพริบและปฏิภาณ
  • การดูแลผู้ต้องขังไม่ใช่เพียงแค่การควบคุม แต่ต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้ต้องขัง ซึ่งอาจมีเล่ห์เหลี่ยม

4. การดูแลสุขภาพผู้ต้องขัง

  • ปัจจุบันมีการพัฒนาด้านสวัสดิการ เช่น
    • การเข้าถึงบริการทางการแพทย์
    • โครงการดูแลสุขภาพฟัน โดย สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • การเข้าถึงหมอเฉพาะทาง เช่น ทันตแพทย์ จิตแพทย์
  • ปัญหาสุขภาพ เช่น อาการปวดฟัน เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง

5. การพัฒนามาตรฐานการดูแลผู้ต้องขัง

  • นอกจากความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่หลับที่นอน และน้ำดื่ม ยังต้องคำนึงถึง คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่
  • ปัจจุบันมีโครงการที่ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อพัฒนาระบบดูแลสุขภาพในเรือนจำ

สรุป

การทำงานของเรือนจำไม่ได้มีเพียงแค่การควบคุมตัว แต่ต้องอาศัย ความรู้ด้านกฎหมาย สิทธิมนุษยชน และการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการดูแลผู้ต้องขังให้ได้รับสิทธิที่เหมาะสมตามมาตรฐานสากล

ข้อเสนอแนะ:

  • ผู้คุมต้องมีความรู้ด้านกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง
  • ต้องเสริมทักษะไหวพริบและการตัดสินใจที่ถูกต้อง

เรือนจำควรพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง